Musical

Musical

Musical

Musical เพลง รวมหนัง Musical ร่วมยุค กับเพลงที่ใครๆก็ร้องตามได้ เราบางครั้งอาจจะคุ้นชิน กับหนังมิวสิคัลชนิด ที่ใช้วงดนตรีออเคสตร้าร้องเพลงหรือมีการขับร้องกันอย่างไพเราะเพราะพริ้ง เนื่องจากว่าหนังมิวสิคัลส่วนมากมีต้นกำเนิดมาจากละครเพลงบรอดเวย์ ไม่ก็เป็นหนังเล่า สมัยโบราณที่ผู้คนยังรู้จักแต่ว่าเพลงคลาสสิก โอเปร่า หรือมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีคลาสสิกร่วมร้อง Musical เพลง( ‘ Les Miserables’, ‘My Fair Lady’, ‘The Phantom of the Opera ’ )

แต่ยุคนี้มีผู้กำกับ บางคน ที่เล็งเห็นว่าน่าจะเอาศาสตร์ การเล่าเรื่องในภาพยนตร์ ร่วมยุคมาเพิ่มเติม กับความเป็นมิวสิคัล แบบที่พวกเราเห็นได้ใน ‘Wizard of Oz’, ‘Singing in the Rain’ หรือ ‘The Sound of Music’ จะไม่ใช่เพลง ที่ร้องเล่นเต้นระบำด้วยเพลงแจ๊ส หรือเพลงคลาสสิก บางทีอาจเป็นเพลงร็อกแอนด์โรล นิวเวฟ หรือป๊อปสดใสแบบที่เด็กรุ่นใหม่ร้องตามได้ มาดูกันดีกว่า Musical ว่ามีหนังเรื่องไหนบ้าง

Musical

Across the Universe

นอกจากชื่อหนังเองแล้ว ชื่อของนักแสดงหลายๆตัวในประเด็นนี้ก็มาจากเพลงของ The Beatles แม้กระทั้งสถานที่ เรื่องราวต่างๆก็ยังซ่อนตัวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่มีความเกี่ยวข้องกับวงอยู่เนืองๆแถมมีตัวละครที่อ้างอิงถึงไอคอนของยุคนั้นทั้งยัง Jimi Hendrix หรือ Janis Joplin แล้วก็ที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเลยเป็นในพาร์ตที่เป็นมิวสิคัลก็มีเพลงของ The Beatles อีกกว่า 30 เพลงที่ถูกเอามา re-arrange เพื่อใช้ดำเนินเรื่อง แถมยังเลือกมาเล่าโยงแต่ละฉากได้อย่างประจวบเหมาะไปหมด

เรื่องราววิพากษ์สังคมอเมริกาในยุค 60s ที่เล่าผ่านความสัมพันธ์วัยรุ่น จู๊ด (มาจากเพลง Hey Jude) ชายหนุ่มจากหงส์แดง (ซึ่งเป็นบ้านกำเนิดของ The Beatles) เร่ร่อนมาอเมริกาและก็ได้เจอกับ ลูซี่ (มาจากเพลง Lucy in the Sky with Diamondห) สาวอเมริกันที่ได้รับความระบมจากการทำศึกเวียดนามในสมัยนั้น เมื่อดนตรีสานชมรมให้เพื่อนพ้อง มิตรภาพ และจากนั้นก็ความรักก่อตัวขึ้นท่ามกลางความไม่ถูกกัน

พวกเขาก็เลยตกลงปลงใจไปสู่แนวทางการต้านการรบ แม้กระนั้นก็ไม่วายที่วันนึงพวกเขาก็ต้องแยกจากกันด้วยความไม่รู้เรื่อง แม้กระนั้นสุดท้ายแล้วจู๊ดก็ตกลงปลงใจกลับมาหาลูซี่อีกทีอาจจะเป็นเนื่องจาก All You Need Is Love สำหรับเพลงที่พวกเราชอบใจในหนังประเด็นนี้เห็นจะไม่พ้น Strawberry Field Forever, Because, I Am the Walrus (ที่มี Bono วง U2 มาเล่นด้วย) อีกอย่างที่ไม่อยากให้พลาดหัวข้อนี้เนื่องจากว่าหนังงามมากมายจริงๆและก็นี่คือฉากในดวงใจของพวกเรา

God Help the Girl

ภาพยนตร์ฉากหน้าน่ารัก ทั้งดาราใบหน้าน่ารักน่าชัง เพลงสวย คอสตูมน่ารัก แต่รายละเอียดไม่ได้แจ่มใสแบบลูกอมที่ฉาบไว้ โดย Stuart Murdoch ฟรอนต์แมนของวง Bell & Sebastian มาเขียนบทและจากนั้นก็ควบคุมเอง แถมยังคงใช้เพลงของวงตนเองมาช่วยเล่าของเด็กวัยรุ่นในกลาสโกว เป็นต้นว่า อีฟ เจมส์ และก็แคสซี สวมบทบาทโดย Emily Brown, Olly Alexander แห่งวง Years & Years รวมถึง Hannah Murray ที่เลื่องลือจากซีรีส์วัยว้าวุ่นอังกฤษเลื่องลือ Skins

พวกเราจะได้ตามติดชีวิตของพวกเขาทั้งยังสามในการจับกลุ่มดนตรีที่เมืองที่นี้ แต่ว่าเวลาเดียวกันพวกเราจะได้พบความวิ่นในชีวิตของศิลปินที่เบาๆคายออกมา อย่าง อีฟ ที่ที่มาของเรื่องพวกเราก็ได้มีความเห็นว่าครอบครัวของเธอไม่ค่อยอบอุ่น จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงหมอเนื่องจากเธอเป็น anorexia หากแม้คุณก็มีความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการเขียนเพลงแล้วก็ร้อง

คุณไม่ต้องการติดอยู่ที่นี่ก็เลยตกลงใจหนีไปทำตามอย่างความฝัน เรียกว่าเป็น coming of age ที่ชักชวนฝันถึงแม้ช่วงเวลาเดียวกันก็น่าหดหู่ ตามที่เล่าผ่านเพลงอินดี้ป๊อปจังหวะสนุกแจ่มใส แม้กระนั้น เนื้อเพลงของแต่ละเพลงกลับสื่อถึงความอ้างว้างและก็โดดเดี่ยว ไม่มีคนเข้าอกรู้เรื่อง

หลายๆฉากพวกเราก็จะได้เห็นมิตรภาพของเพื่อน การแอบรัก รวมทั้งความหวังดีที่มอบให้โดยไม่อยากสิ่งใดทดแทน เพลงที่ประทับใจในประเด็นนี้ก็ไม่พ้นเพลงขื่อเดียวกับเรื่องแน่ๆGod Help the Girl, Come Monday Night, I Just Want Your Jeans ส่วนฉากที่เราถูกอกถูกใจที่สุดคือฉากนี้

La La Land

อีกเรื่องในดวงใจของมนุษย์เยอะมากๆ หากแม้ฟอร์ม ของเรื่องจะมีความเป็นมิวสิคัลอยู่ในหลายฉาก ถึงแม้ก็มิได้ ทำให้หนังดูเชยอะไร ทั้งยังชุบชีวิตเพลงแจ๊สขึ้นมาใหม่ให้สดใสร่วมยุค หรือเอาขนบของมิวสิคัล ที่คนคิดว่าเข้าถึงยากมาทำให้จับต้องได้มากเพิ่มขึ้น จนได้รับการเสนอชื่อในสาขาภาพยนตร์ดีที่สุด ดาราเหมาะสมที่สุด เพลงดีที่สุดจากหลายเวที ยิ่งไปกว่านี้ Ryan Gosling ก็ยังฝึกเล่นเปียโนให้เซียนขึ้น เพื่อมารับบทผู้ชายนักเล่นดนตรีที่ต้องการเปิดบาร์แจ๊ส รวมทั้งเป็นไม่กี่เรื่องที่เราได้ยิน Emma Stone ขับร้องด้วย เนื่องจากว่ามากมาย

หนังเล่าความรักของ มีอา และก็ เซบาสเตียน ที่กำลังเจริญเติบโตชื่นบานภายใต้แสงอาทิตย์ เจิดจ้าในลอสแอนเจลิส หากแม้ประเด็นนี้ ก็สอนให้ทราบว่า แม้ว่าจะรักกันแค่ไหนแต่ว่าสุดท้าย ก็ต้องปราชัยให้กับการวิ่งตามความฝัน ถึงพล็อตประมาณนี้จะถูกเล่าซ้ำมาโดยประมาณห้าร้อยล้านรอบแล้ว ถึงแม้ว่าด้วยความรู้ความเข้าใจของผู้กำกับ Damien Chazelle ก็ยังสามารถหาแง่มุมใหม่ๆ มาดำเนินเรื่องให้เราเพลิดเพลิน เจริญใจจำเริญหัวใจได้ ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบ แล้วก็เสียน้ำตาให้ไปหลายแหมะด้วยเหมือนกัน อินโว้ยยยย

เพลงที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอย่างดีเยี่ยมก็คือ City of Stars ส่วนเพลงที่เราต้องการเสนอแนะให้ไปฟังกันเป็น Another Day Of Sun, A Lovely Night, Fools Who Dream แต่ที่แน่ๆเป็นถูกใจการเรียบเรียงเพลงโดยสามารถถือธีมซองมาแทรกสอดไปได้ในทุกเพลงอย่างแยบยลเลยทำให้พวกเราไม่ทราบสึกว่ามีเพลงไหนฉีกไปจากโทนของเรื่องแม้แต่น้อย

Les Chansons d’Amour

ภาพยนตร์ฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวในลิสต์ Musical เพลง ที่เราเห็นว่าน่าสนใจมากมายๆได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปี 2007 แม้จะไม่ค่อยมีชื่อในบ้านเราแต่ก็ยังมีคนตาไวไปพบดูมาได้แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง (กราบ) นอกจากจะเป็นการเล่าด้วยดนตรีร่วมยุคที่เขียนโดย Alex Beaupain ที่เพราะเหตุว่าเยอะมากๆแล้ว ว่ากันว่าหนังประเด็นนี้ได้อิทธิพลจากหนังฝรั่งเศสแบบที่ Jean-Luc Godard ควบคุมอะไรเทือกนั้น การที่เราจะได้เห็นฟุตเทจภาพนิ่งเล่าเรื่องสลับกับการเดินเรื่องธรรมดา

หรือจู่ๆผู้แสดงเคลื่อนแบบเหนือจริง (คนอื่นเดินธรรมดา แต่ว่าอีกคนเคลื่อนถอยหลังแบบสมูธๆเนื่องจากยืนบนดอลลี่) ไปจนกระทั่งการให้เรามองเหตุคู่ขนานที่เกิดขึ้นไปพร้อมทั้ง narrative ของอีกเหตุหนึ่ง จะเห็นการหันมามองดูกล้องที่มีไว้ถ่ายภาพตรงๆของดาราเป็นตอนๆซึ่งเป็นกิมไม่กของ French New Wave หมดเลย อย่างฉากอ่านหนังสือบนที่นอนก็ทำให้นึกถึง ‘Bed & Board’ ของ François Truffaut ที่เป็นผู้กำกับสายเดียวกันนั่นเอง

เรื่องราวว้าวุ่นของหนุ่มสาวในกรุงปารีส

หนังแบ่งเป็นสามส่วนเป็น The Departure, The Absence รวมทั้ง The Return ซึ่งเนื้อหาของอีกทั้งสามส่วนก็ยังเป็นเส้นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าถูกแบ่งตามลำดับเวลาของการเยียวยารักษาจิตใจหลังจากการสูญเสียของอิสมาเอล โดยที่มาก็มีความอิรุงตุงนังราวๆนึงว่า อิสมาเอล เป็นแฟนกับจูลี่ แล้วอยู่ดีๆสองคนนี้ก็อยากทรีซั่มเลยได้ อลิซ สหายร่วมงานของอิสมาเอลมาเป็นคู่หูเพิ่มเติมคน แต่ว่าจนกระทั่งมาวันนึงจูลี่ก็กำเนิดอาการงงงันในตนเอง ไม่ทราบว่าจริงๆรักอิสมาเอลหรือไม่

แต่ว่าก็ออกอาการหึงหวงอิสมาเอลจากอลิซอยู่บ่อยๆก็ต้องตามมองกันว่ากล่าวสามคนนี้จะเตรียมการความปั่นป่วนนี้กันอย่างไร บอกตรงๆว่าสิ่งที่ทำให้ต้องการมองประเด็นนี้เห็นจะไม่พ้นเพลงเนี่ยแหละ ส่วนใหญ่เป็นป๊อป อัลเทอร์เนทิฟ ที่เขียนมาได้โก้เลย ดาราภาพยนตร์แต่ละคนก็ร้องเองทั้งหมด เพลงที่ถูกใจมากๆในประเด็นนี้ก็ได้แก่ Je n’aime que toi, Les yeux au ciel, J’ai cru entendre Once

ใครกันแน่ที่เป็นสายโฟล์กคงไม่มีทางเป็นไปได้พลาดหัวข้อนี้อย่างแน่นอน มิวสิคัลที่เล่าเรื่องของนักเล่นดนตรีสองคนในเมืองดับลิน ไอร์แลนด์ คนนึงเป็นหนุ่มนักเล่นดนตรีเปิดหมวกที่ศีรษะใจบอกบอบช้ำมาจากรักครั้งเก่า เล่นดนตรีหาเลี้ยงตัวไปวันๆที่ศีรษะมุมถนน อีกคนเป็นสาวเช็กที่ย้ายมาอยู่ตรงนี้พร้อมครอบครัวอย่างขัดสน กระทั่งวันหนึ่งคุณได้เดินผ่านมาพบเขาเล่นดนตรีอยู่ตรงที่ประจำ แล้วก็ทั้งคู่ก็รู้จักกันตั้งแต่วันนั้น แม้จะเริ่มจากการเอาเครื่องดูดฝุ่นมาให้เขาซ่อมแซมก็ตาม

สิ่งที่เรารักสุดๆในหนังประเด็นนี้เป็นความดิบ แล้วก็เรียบง่าย แต่แอบรายละเอียดน่ารักๆไว้ให้เราแอบยิ้มผสมน้ำตาซึม หรือบางฉากก็เจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสปวดหัวหัวใจ ขนาดที่ Steven Spielberg เองยังเอ่ยปากดูใน USA Today ที่หนังเล็กๆเรื่องนี้ได้ให้แรงกระตุ้นกับเขาอย่างมหาศาล เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นความเหมือนจริงในอารมณ์ความรู้สึกที่คนดูเองก็ยังสัมผัสได้

ซึ่งเพลงในเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของพระนางเอง Marketa Irglova รวมทั้ง Glen Hansard พวกเขาเคยทำเพลงร่วมกันในชื่อ The Swell Season และส่งให้เพลง Falling Slowly ได้รางวัลเพลงออริจินัลดีเลิศในออสการ์มาแล้ว เพลงที่เรารักในประเด็นนี้ Lies, Fallen From the Sky, Gold ส่วนฉากที่มองดูกี่คราวก็น้ำตาซึมก็จะต้องฉากนี้แล

Dancer in the Dark

จบท้ายด้วยหนังสะเทือนอารมณ์ของ Lars Von Trier ที่ได้ดาราตัวแม่ที่วงการ Björk มารับงานแสดงชิ้นแรกในชีวิตของคุณ กับบท เซลม่า แรงงานย้ายถิ่นชาวเช็กที่มาดำเนินการในโรงงานที่อเมริกา โดยมีลูกชายติดตามมาด้วย นอกจากความเปลี่ยนไปของคุณแล้ว เธอพบว่าดวงตาที่มองกำกวมกำลังค่อยๆมืดบอดลง รวมทั้งลูกชายของคุณก็กำลังพบกับอาการคล้ายคลึงกันทำให้เซลม่าต้องดิ้นรนหาทางรักษาให้ลูกชายไม่ต้องเป็นแบบเธอ

หนังใช้วิธีเล่าความขาดแคลนแสนท้อแท้สลับไปกับฉากมิวสิคัลเหนือจริง ที่เปรียบเสมือนเป็นโลกในหัวของคุณที่เธอสามารถหนีจากความไร้มนุษยธรรมของชีวิต คุณได้ทั้งร้อง เต้น และแลเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างใจ เธอมีความต้องการที่จะเป็นดาราหนังละครบรอดเวย์ โดยเฉพาะกับบทนำใน The Sound of Music อย่างที่พวกเราจะได้เห็นคุณขับร้อง My Favorite Things ในฉบับที่ขู่เข็ญจิตใจอย่างยิ่ง

อย่างเดิมเขียนในโพสต์ นักดนตรีที่เคยทำเพลงประกอบหนัง ในเพจ ฟังจิตใจ ก็จะพบว่า Björk รับหน้าที่เขียนเพลงทั้งสิ้นขึ้นมา รวมทั้งแสดงรวมทั้งร้องเองในทุกฉาก ทำให้หลายๆคนพบว่าคุณเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์มากมายก่ายกองคนนึง หลายๆเพลงในหัวข้อนี้มีความเป็นดนตรีทดสอบ industrial เป็นมีเสียงเครื่องจักร

เสียงร้องเท้าที่ทำขึ้นมาจากยางเสียดสีกับพื้น ถูกนำมาใช้เป็นบีตในเพลงต่างๆผสมกับออเคสตร้ารวมทั้งซาวอิเล็กทรอนิกได้อย่างแปลกใหม่น่าดึงดูด และแน่นอนว่าความใหม่ของเพลงก็ขัดกับเบื้องหลังของเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 60s แต่นั่นก็เป็นความตั้งมั่นของผู้กำกับและก็ดาราเองที่คิดว่าไหนๆโลกที่มีเสียงดนตรีก็เป็นโลกในจินตนาการที่อะไรก็เกิดขึ้นได้

เพลงที่พวกเราชื่นชอบจากเรื่องนี้มีมากมายจริงๆแม้กระนั้นถ้าเกิดอยากให้ลองฟังก็มี Cvalda, I’ve Seen It All, In a Musical จริงๆยังมีอีกหลายเรื่องที่มีเพลงไพเราะเพราะพริ้งๆที่อยากชี้แนะไปพบมาดูกัน อย่าง ‘Hedwig and the Angry Inch’ ที่เล่าเรื่องนักเล่นดนตรี transgender ชาวเยอรมันที่ย้ายถิ่นมากระทำตามฝันในอเมริกา หรือ ‘Grease’ หนังเก่าหน่อยปี 1978 หากแม้โก้ไม่หยอก หรือ ‘Mamma Mia’ ซึ่งก็มาจากมิวสิคัล แม้กระนั้นเพลงน่ารักน่าเอ็นดูมากไม่น้อยเลยทีเดียวเด้อ ผู้ใดกันมีเรื่องไหนเด็ดๆก็เอามาเสนอแนะกันได้นะ

https://terracotabolsas.com/